Stem cell มารู้จักก่อนฉีด

ร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วย สิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดที่เรียกว่า “เซลล์” ซึ่งเซลล์ภายในร่างกายของมนุษย์ มีอยู่มากมายประมาณ 50-100 ล้านล้านเซลล์ เซลล์เหล่านี้ประกอบกันเป็นอวัยวะต่างๆของร่างกายที่ทำหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น เซลล์กล้ามเนื้อเซลล์ตับ เซลล์ประสาท เซลล์กระดูกเป็นต้น และเมื่อเราเติบโตขึ้น จากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ เซลล์ที่เคยเริ่มแข็งแรงก็เริ่มเสื่อมถอยอ่อนแอลง เมื่อเซลล์อ่อนแอลงก็จะส่งผลทำให้ร่างกายแสดงความผิดปกติออกมาด้วยอาการเจ็บป่วยต่างๆ

สเต็มเซลล์ ถือเป็นที่สุดของวงการแพทย์ในทุกแขนง โดยเฉพาะวงการแพทย์ผิวหนังและความงาม เพราะ สเต็มเซลล์ก็คือการใช้เซลล์ซ่อมเซลล์ คอยซ่อมแซมความเสื่อมของร่างกาย โดยปกติคนเราจะมีสเต็มเซลล์ที่ช่วยซ่อมแซมภายในร่างกายอยู่แล้ว แต่การซ่อมแซมนั้นอาจไม่สมบูรณ์ เมื่อเราอายุมากขึ้นปริมาณสเต็มเซลล์และคอลลาเจนลดลง เม็ดสีส่วนเกินถูกขจัดได้ช้าลง ผิวหนังบาง แพ้ง่าย นำไปสู่ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ฝ้า กระ สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่ความชรา การที่เราเพิ่มปริมาณสเต็มเซลล์ใหม่ที่มีคุณภาพสูง และสด ที่ยังมีชีวิตอยู่ (Live Stem Cell) จะช่วยกระตุ้นให้เซลล์ซ่อมแซมตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เหมือนเซลล์ผิวเด็ก ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส ดูอ่อนกว่าวัย ลดริ้วรอย ความหมองคล้ำ 

ส่วนสเต็มเซลล์ที่ใช้ในด้านความงาม หากนำสเต็มเซลล์ (stem cell) มาฉีดเข้าสู่ใบหน้า สามารถนำไปซ่อมแซมเซลล์ผิวให้ดีขึ้นได้ โดยสามารถชะลอวัย เพราะความแก่เกิดจากปัจจัยหลักคือ เซลล์ถูกทำลายมากกว่าการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้ความสมดุลภายในเริ่มเสีย รวมทั้งการแสดงออกทางผิวหนังและริ้วรอยต่างๆ จึงได้มีการพัฒนา สเต็มเซลล์ขึ้นมาในรูปแบบต่างๆ เพื่อใช้ในการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ ให้ผิวกลับมาดูเปล่งปลั่ง สดใส เป็นหนุ่มเป็นสาวอีกครั้ง การทำออกมาในรูปแบบยาฉีด ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการรักษาที่สูงกว่า 

Stem cell คืออะไร ?
สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือ เซลล์ต้นกำเนิด คือ เซลล์ตัวอ่อนที่ยังไม่มีหน้าที่ของเซลล์ซึ่งสามารถแบ่งตัวได้อย่างไม่มีขีดจำกัดและเปลี่ยนแปลงเพื่อไปเซลล์อื่นๆที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้ เช่น เปลี่ยนกลายเป็นเซลล์เนื้อเยื่อชนิดต่างๆ เซลล์ประสาท เซลล์เม็ดเลือด
Stem cell แบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามความสามารถในการพัฒนา คือ
1) Totipotent cell คือ เซลล์ที่พัฒนาไปเป็นเซลล์อื่นๆได้ทุกเซลล์ ได้แก่ เซลล์ไข่ที่มีการปฏิสนธิแล้ว (single cell embryo)
2) Pleuripotent cell คือ เซลล์ที่พัฒนาไปเป็นเซลล์อื่นได้หลายแบบ เช่น embryonic stem cell
3) Multipotent/Unipotent cell คือ เซลล์ที่พัฒนาไปเป็นเซลล์จำเพาะชนิดใดชนิดหนึ่งได้เท่านั้น เช่น เซลล์จากเลือดสายสะดือ (cord blood stem cell) เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (hematopoietic stem cell)

Stem cell มาจากไหน ได้มาจากอะไร ?
โดยปกติแล้วในร่างกายของเราไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะมี stem cell อยู่แล้ว เพราะในเวลาที่เราบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย เซลล์ของเราก็จะต้องเกิดการบาดเจ็บหรือตายไปด้วย ซึ่งstem cell ก็จะทำหน้าที่ซ่อมแซมบาดแผลและสร้างแซลล์ใหม่เพื่อมาทดแทนแซลล์เก่าที่ตายไป เพราะฉนั้น stem cell จึงทำหน้าที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราแก่ก่อนอายุ
สำหรับ stem cell ที่มีการนำมาใช้ทางการแพทย์นั้น มีการนำมาจากหลายรูปแบบ ทั้งแบบใช้เซลล์ของเราเอง (autologous) ใช้เซลล์ของคนอื่น (allogeneic) หรือใช้เซลล์ของสัตว์ (xenotherapy) เช่น embryonic stem cell ได้มาจากตัวอ่อนที่ปฏิสนธิแล้ว, bone marrow stem cell ได้มาจากไขกระดูก ซึ่งปัจจุบันได้มีการนำ stem cell มาใช้ในการรักษาโรคหลายอย่าง เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว รักษาอาการการบาดเจ็บของอวัยวะ โรคข้อเข่าเสื่อม โรคเบาหวาน เป็นต้น
ในด้านความงามนั้น ก็มีการศึกษาวิจัยและนำ Stem cell มาใช้อย่างมากเช่นกัน โดยที่นิยมนำมาใช้ในปัจจุบันได้แก่ เซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์ร่างกาย หรือ mesenchymal stem cells (MSCs) ซึ่งสามารถเก็บได้จาก ไขกระดูก รก หรือไขมัน

ใช้ Stem cell คนอื่นมาฉีดจะเป็นอะไรหรือไม่ ?
MSCs ที่นำมาใช้จะต้องเป็นเซลล์ที่มีการเพาะเลี้ยงในห้องทดลองที่ได้มาตรฐาน ผ่านการตรวจโรคและฆ่าเชื้อเป็นอย่างดี
สำหรับ MSCs มีข้อดีคือสามารถฉีดข้ามคนได้ (allogeneic) โดยไม่เกิดการปฏิเสธเนื้อเยื่อในครั้งแรก เนื่องจากเป็นเซลล์ที่ยังไม่มีการแสดงออกจึงไม่กระตุ้นระบบภูมิต้านทานที่จะทำให้เกิดการต่อต้าน MSCs ยังมีคุณสมบัติในการยับยั้งเซลล์ที่ผิดปกติหรือจะกลายพันธุ์ได้อีกด้วย

การฉีด MSCs เป็นอย่างไร จะเริ่มเห็นผลในกี่วัน และผลจะอยู่ได้นานเท่าไหร่
MSCs ที่นำมาใช้ฉีดบริเวณใบหน้านั้น จะแนะนำให้ฉีดเริ่มต้นที่ 1-5 ล้านเซลล์ทั่วบริเวณใบหน้า และ 20 ล้านเซลล์ทั่วร่างกาย ระยะเวลาที่เริ่มเห็นผลการรักษาจะอยู่ที่ประมาน 1-4 สัปดาห์ขึ้นกับคนไข้แต่ละคน และผลการรักษาจะขึ้นกับจำนวนเซลล์ที่ฉีด คุณภาพของเซลล์ที่นำมาฉีด และการปฏิบัติตัวของคนไข้เอง แต่โดยทั่วไปจะอยู่นานได้ตั้งแต่ 3-12 เดือ

Leave a Reply

Your email address will not be published.